วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ประวัติของน้ำมันมะพร้าว


พอล ซอร์ซี่
บิดาแห่งน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็น
ดร.บรูซ ไฟฟ์ นักโภชนศึกษาผู้แต่งหนังสือ Coconut Cures เขียนคำอุทิศไว้ในหนังสือของเขาว่า
" ขอมอบหนังสือเล่มนี้เป็นอนุสรณ์แด่ พอล ซอร์ซี่ และวิสัยทัศน์ของเขา ในการเผยแพร่สรรพคุณการรักษาของน้ำมันมะพร้าวไปทั่วโลก "
พอร์โฟริโอ (พอล) ซอร์ซี่ เกิดที่ฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1895 เป็นบุตรคนที่สองในจำนวนพี่น้องห้าคน พ่อของพอลเป็นนักเทศน์ในคริสตศาสนานิกายโปรแตสแตนต์ เมื่อลูกบ้านป่วย พ่อของพอลจะรักษาพวกเขาด้วยน้ำมันมะพร้าวซึ่งเป็นยาพื้นบ้านที่ใช้กันมาจนเป็นประเพณีอยู่ในฟิลิปปินส์ขณะนั้น เขาทำน้ำมันมะพร้าวด้วยตนเองโดยอาศัยวิธีการที่สืบทอดกันมาจากพ่อของพ่อของพ่อ พอลได้เรียนรู้วิธีทำน้ำมันมะพร้าวสดบริสุทธิ์จากที่นั่น 
ชีวิตวัยเด็กของพอลทำไร่ทำนาอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ราชนาวีสหรัฐเริ่มเกณฑ์ชาวฟิลิปปินส์เข้ารับราชการทหาร (ขณะนั้นฟิลิปปินส์เป็นดินแดนภายใต้อาณัติของอเมริกา) พอลหนุ่มจึงสมัครเข้าเป็นพ่อครัว เขารับใช้กองทัพเรืออยู่สามปี ภายหลังสงครามโลกยุติ พอลลาออกจากทหารมาทำงานเป็นพ่อครัวอยู่ในเรือพาณิชย์จนกระทั่งปี 1925 หลังจากนั้นพอลย้ายไปนิวยอร์ค อาศัยในหมู่บ้านกรีนวิชกับเพื่อนๆชาวฟิลิปปินส์ของเขา ฝีมือพ่อครัวของเขาได้รับการฝึกฝนให้ดียิ่งขึ้นเมื่อเขาได้เข้าทำงานในโรงแรมหรูอย่าง วอลดอร์ฟแอสโตเรีย พอลยังเคยทำงานให้กับตระกูลมั่งคั่งหลายตระกูล โดยเป็นทั้งพ่อครัว คนขับรถ และพ่อบ้าน พอลจะปรุงหารรสอร่อย คอยดูแลลูกเจ้านาย รวมทั้งดูแลสัตว์เลี้ยงและรถยนต์ 
ครั้งหนึ่งเขาทำงานให้ตระกูลไครสเลอร์ โอกาสหนึ่งพอลเล่าว่า เจ้านายบอกพอใจในผลงานของเขาและเขาสมควรได้รับรางวัล จากนั้นไม่นาน เจ้านายของพอลตายด้วยเหตุเครื่องบินส่วนตัวตก เขาทิ้งเงินไว้ให้พอลก้อนหนึ่งที่พอลอธิบายว่าเป็น"เงินก้อนใหญ่" ส่วนจะใหญ่แค่ไหนนั้นผมไม่เคยรู้ แต่สงสัยว่าไม่น่าจะใช่แค่สองพันสามพันเหรียญ จากการที่รู้อยู่แล้วว่าพอลดำเนินชีวิตอย่างมัธยัสถ์เพียงไร เงินจำนวนนี้น่าจะทำให้พอลเป็นหลักเป็นฐาน แต่พอลกลับมอบมันแก่เพื่อนชาวฟิลิปปินส์ของเขา เพื่อนำไปใช้เป็นทุนเข้าศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียโดยไม่หวังจะได้คืน เขาบอกกับเพื่อนของเขาว่า เมื่อเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงแล้วให้นำเงินไปช่วยเหลือพี่น้องชาวฟิลิปปินส์ต่อไป นี่แหละพอล คอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ 
พอลเริ่มทำน้ำมันมะพร้าวเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วย เหมือนกับที่พ่อของเขาเคยทำ อย่างไรก็ดี น้ำมันมะพร้าวของพ่อของเขาทำด้วยวิธีโบราณ มีส่วนผสมของน้ำปนอยู่มาก เก็บไว้ได้แค่สองสามสัปดาห์ก็เหม็นหืน พอลจึงปรับปรุงสูตรดั้งเดิมของพ่อเขาเสียใหม่โดยสกัดน้ำออกทั้งหมด ทำให้สามารถเก็บรักษาได้นานไม่จำกัด ใช้แล้วลื่นกว่า และแทรกซึมผ่านผิวหนังได้ง่ายกว่ามาก 
พอลเกษียณในปี 1952 เมื่อมีอายุครบ 57 เขาตัดสินใจทำน้ำมันมะพร้าวของเขาออกขายแบบเต็มเวลา "เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์, ตอบสนองความต้องการของมนุษย์" พอลกล่าว "มันทำให้คุณมีความสุข, สุขภาพแข็งแรง, และงดงาม, มันแทรกซึมผ่านรูขุมขน, เข้าสู่ศูนย์กลางประสาท ช่วยให้อายุยืนยาว สุขภาพดี" ช่วงชีวิต 45 ปีที่เหลือต่อมาของพอลอุทิศให้กับ การเผยแพร่วิธีส่ร้างเสริมสุขภาพด้วยน้ำมันมะพร้าวของเขา
ชื่อเสียงของพอลและน้ำมันมะพร้าวเป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งเมือง หนังสือพิมพ์หลายฉบับตีพิมพ์เรื่องของพอลและน้ำมัน'โคเพียว' (น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์) ของเขา บริษัทผลิตเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่สองสามบริษัทเสนอซื้อสูตรลับการทำน้ำมันมะพร้าว แต่พอลปฏิเสธไปทั้งหมด การได้ลงมือทำพร้อมกับควบคุมคุณภาพด้วยตัวเองเป็นสิ่งสำคัญกว่าการได้มาซึ่งเงินทอง
ผู้คนทั่วทั้งนิวพอร์ทต่างมาหาเขาเพื่อซื้อน้ำมันมะพร้าวหรือมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ การรักษาของพอลจะใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นหลักเสมอ มันเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นเดียวที่เขาขาย ลูกค้าของพอลมาจากทุกสาขาอาชีพ นอร์ม่า เทเลอร์ โปรเทนนิสเป็นลูกค้าประจำเช่นเดียวกับ ดิ๊ค เกรกอรี่ นักเขียนเรื่องขำขันและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง, แคธลีน คอตตา ผู้ทำไร่สมุนไพรอยู่ที่พอร์ทสมัทธ์ จะแวะมาซื้อน้ำมันมะพร้าวคราวละสองขวด ขวดหนึ่งไว้ใช้ภายนอก อีกขวดไว้รับประทาน "เชื่อหรือไม่" เธอพูด "ฉันเหยาะมันในน้ำชาหรือกาแฟ มันเหมือนวิตะมินเลย"
ที่ร้านของพอลมักเตรียมอาหารหม้อใหญ่เผื่อไว้หนึ่งอย่างสำหรับคนที่กำลังหิว เขาจะเสิร์ฟมันแก่ลูกค้าประจำ เพื่อนสนิท หรือกับใครๆที่แวะเข้ามา ทุกๆวันจะมีชายตาบอดคนหนึ่งเดินเคาะไม้เท้ามาตามถนนเทมส์จนถึงร้านของเขา พอลจะจัดอาหารเลี้ยงดูชายตาบอดอย่างดีราวกับพระราชา เขาทำเช่นนี้ทุกวันเป็นปีๆและคิดค่าอาหารเพียงหนึ่งหรือสองดอลลาร์ ที่พอลต้องคิดเงินก็เพื่อไม่ให้ชายตาบอดรู้สึกเคอะเขิน เขายังทำเช่นนี้กับคนติดเหล้าคนหนึ่งที่โผล่มาเป็นครั้งคราว พอล เป็นชายร่างเล็กที่สูง 5 ฟุต 1 นิ้วและหนักเพียง 120 ปอนด์ แต่หัวใจของเขายิ่งใหญ่นัก
ธุรกิจของพอลคือน้ำมันมะพร้าวที่เขารักอย่างจริงจัง บทสนทนาของพอลถ้าไม่เริ่มต้นก็ต้องจบลงด้วยเรื่องน้ำมันมะพร้าว พอลมักพูดว่า "มะพร้าวเป็นราชาของอาหาร มะม่วงเป็นราชินี" พอลเคยยกขวดน้ำมันมะพร้าวขึ้นพร้อมพูดว่า "ความลับของการมีสุขภาพดีอยู่ในขวดนี้ คนเป็นล้านทั่วโลกต้องตายไปเพราะเจ็บไข้หรือหิวโหย รู้แล้วก็ได้แต่เศร้าใจเพราะตัวผมมีคำตอบอยู่ในมือ"
พอลไม่เคยมีกลิ่นตัวหรือกลิ่นปาก ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันมา 25 ปี พอลไม่เคยอาบน้ำฟอกสบู่เลย เขาใช้การนวดตัวด้วยน้ำมันมะพร้าวทุกวันตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแทน เขาจะดื่มมันเล็กน้อย ถ้าวันไหนรู้สึกไม่ดีก็จะดื่มมากหน่อย ด้วยสุขภาพและสภาวะทางร่างกายที่ดีเยี่ยม บวกกับใบหน้าที่ไม่มีริ้วรอยแม้จะอยู่ในวัย 70-80 ปีของพอลเป็นตัววัดได้อย่างดีว่าน้ำมันมะพร้าวของเขาให้ผลเช่นไร
พอล ซอร์ซี่
ปี 1995 พอล ซอร์ซี่ฉลองวันเกิดอายุครบ 100 ปี ได้รับเกียรติจากเทศบาลเมืองรีโฮบอทช์ แมสซาชูเซ็ท ยกย่องให้เป็นพลเมืองอาวุโสที่สุด พอลยังคงมีสติแจ่มใสและกระฉับกระเฉง เขาทำสลัดมันฝรั่งและไข่เดฟเวิลด์เลี้ยงแขกที่มาร่วมฉลองในงาน
พอล ซอร์ซี่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 1998 ด้วยวัยอันน่าทึ่ง 102 ปี คนที่รู้จักต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาดูอ่อนวัยและกระฉับกระเฉงกว่าอายุ ยังคงง่วนกับการบดมะพร้าวเพื่อทำน้ำมันอย่างทะมัดทะแมงไปจนบั้นปลายชีวิต เป็นข้อยืนยันได้อย่างดีว่าน้ำมันมะพร้าวของเขาใช้ได้ผลเพียงไร พอลนับว่าเป็นผู้ค้นพบยาอายุวัฒนะที่แท้จริง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น